แถลงการณ์
“ยกเลิกกฎอัยการศึก หยุดนโยบายและแผนเพื่อไล่รื้อคนจนออกจากที่ดินทำกิน”
ในยุคข้าวยากหมากแพงเช่นที่เป็นอยู่ ณ เวลานี้ แผนแม่บทการแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ การบุกรุกที่ดินของรัฐและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน พ.ศ. ๒๕๕๗ และคำสั่ง คสช. ที่ ๖๔/๒๕๕๗ และ ๖๖/๒๕๕๗ เรื่องการปราบปรามและหยุดยั้งการบุกรุกทำลายทรัพยากรป่าไม้ ยิ่งตอกย้ำซ้ำเติมความทุกข์ยากจากการไร้ที่ดินทำกินของประชาชนในภาคอีสานมากยิ่งขึ้น เป็นการซ้ำเติมวิกฤติเศรษฐกิจในระดับปากท้องของครัวเรือนทบทวี
ท่ามกลางการแจกจ่ายเพิ่มเงินบำเหน็จบำนาญข้าราชการและงบซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพและหน่วยงานความมั่นคง กลับพบว่ามีเกษตรกรรายย่อยซึ่งมีฐานะยากจนถูกดำเนินคดีจากนโยบายขอคืนพื้นที่ป่าแล้ว ๑๐๓ ราย ซึ่งกำลังเป็นที่วิตกกังวลว่าพวกเขาเหล่านั้นจะกลายเป็นผู้ไร้ที่ดินทำกินหากแพ้คดีจากการพิจารณาของศาล อยู่ระหว่างถูกออกหมายเรียกตัวให้มารับทราบข้อกล่าวหาเพื่อยึดคืนพื้นที่ทำกินอีก ๑,๗๖๔ ครอบครัวที่กระจายตัวอยู่ในจังหวัดสกลนคร ชัยภูมิ ร้อยเอ็ด กาฬสินธุ์ ซึ่งขณะนี้ถูกห้ามไม่ให้เข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกินแล้ว
ในส่วนของภาพรวมทั้งประเทศ หากมีการปฏิบัติการตามแผนแม่บทฯ และคำสั่ง คสช. ทั้งสองฉบับ จะเกิดการบังคับให้อพยพชาวบ้านออกจากพื้นที่ป่าทั้งหมด ๑,๒๕๓ พื้นที่ รวม ๘,๑๔๘ หมู่บ้าน แบ่งเป็น ภาคอีสาน ๓๕๒ พื้นที่ ๒,๓๐๐ หมู่บ้าน ภาคเหนือ ๒๕๓ พื้นที่ ๕,๒๐๐ หมู่บ้าน ภาคใต้ ๔๖๘ พื้นที่ ๑,๐๘๐ หมู่บ้าน และภาคกลาง ๑๘๐ พื้นที่ ๙๒๐ หมู่บ้าน จากข้อมูลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีประชากรอยู่ในพื้นที่ป่าไม่น้อยกว่า ๗๕๐,๖๒๒ ครอบครัว แต่ข้อมูลของรัฐฝ่ายความมั่นคงที่รวมประชากรแฝงและไม่ลงทะเบียนด้วยมีไม่น้อยกว่า ๑,๑๖๔,๐๐๐ ครอบครัว
คำถามสำคัญคือ รัฐจะบังคับอพยพชาวบ้านทั้งหมดนี้ไปไว้ที่ไหน? เมื่อบังคับอพยพชาวบ้านออกมาแล้วจะทำให้วิถีชีวิตความเป็นอยู่หายจากความยากจนหรือผู้ยากไร้ได้จริงหรือ?
ข้อมูลที่น่าสนใจ ณ เวลานี้ ในส่วนของภาพรวมทั้งประเทศ แผนแม่บทฯ และคำสั่ง คสช. ทั้งสองฉบับ ส่งผลให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในที่ดินของรัฐเป็นจำนวนมากถูกดำเนินคดีแล้ว ในข้อหามีไม้ไว้ในครอบครองมากกว่า ๕๐๐ คดี ในจำนวนคดีดังกล่าวคิดเป็นคดีของนายทุนเพียง ๑๐ ราย ที่เหลือเป็นคดีของเกษตรกรรายย่อยทั้งหมด ทั้ง ๆ ที่เกษตรกรรายย่อยเหล่านั้นไม่เกี่ยวข้องกับขบวนการค้าไม้แต่อย่างใด การยัดข้อหาเช่นนี้เป็นการดำเนินการของเจ้าหน้าที่รัฐที่ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของแผนแม่บทฯ และคำสั่ง คสช. ทั้งสองฉบับที่ระบุว่าการดำเนินการใด ๆ ต้องไม่กระทบต่อผู้ยากไร้และผู้ที่อยู่ในพื้นที่นั้นก่อนวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๕๗ แต่อย่างใด
นอกจากความรุนแรงที่ผ่านมาบนเทือกเขาภูพานเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๕๗ หลังรัฐประหารได้ประมาณหนึ่งเดือน มีกองกำลังผสมของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทหารและตำรวจตัดทำลายต้นยางของชาวบ้าน ๑๘ ครอบครัว บนเนื้อที่กว่า ๓๘๓ ไร่ ในพื้นที่หมู่บ้านโนนเจริญ อำเภอภูพาน จังหวัดสกลนคร และเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๕๗ มีชาวบ้าน ๓๗ ราย ในหมู่บ้านจัดระเบียบป่าไม้ถูกจับกุมและควบคุมตัวในข้อหาเข้าครอบครองและตั้งถิ่นฐานในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติเขตอำเภอและจังหวัดเดียวกันกับกรณีแรก และกรณีชุมชนบ้านเก้าบาตร ตำบลลำนางรอง อำเภอโนนดินแดง จังหวัดบุรีรัมย์ หนึ่งในชุมชนกรณีสวนป่าโนนดินแดง ที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้และทหารกดดันให้ ๔๐ ครอบครัว ประมาณ ๑๖๐ คน ออกจากที่อยู่อาศัยและที่ดินทำกินจนทำให้ชุมชนล่มสลายหมดสิ้น ล่าสุดชุมชนโคกยาว ตำบลทุ่งลุยลาย อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ จำนวน ๓๓ ครอบครัว ประมาณ ๑๐๐ คน กำลังถูกยัดเยียดข้อเสนอจากเจ้าหน้าที่ทหารให้อพยพห่างไปจากพื้นที่ทำกินเดิมประมาณ ๔๕ กิโลเมตร
ความรุนแรงเหล่านี้กำลังแผ่ขยายลุกลามดุจเชื้อร้าย ลำพังแผนแม่บทฯ และคำสั่ง คสช. ทั้งสองฉบับ หากตีความตามลายลักษณ์อักษรก็ยังมีช่องทางที่จะผสานความร่วมมือระหว่างรัฐกับประชาชนเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาการทำลายทรัพยากรป่าไม้ การบุกรุกที่ดินของรัฐและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนได้ แต่ทุก ๆ ครั้งที่เจ้าหน้าที่ป่าไม้และทหารปฏิบัติการมักอ้างกฎอัยการศึกเพื่อกดขี่ บังคับ ขับไล่ชาวบ้านออกจากที่ดินทันทีโดยไม่สนใจเนื้อหาในแผนแม่บทฯ และคำสั่ง คสช. ทั้งสองฉบับแต่อย่างใด
ด้วยวัฒนธรรมอำนาจนิยมเยี่ยงนี้จึงไม่มีกระบวนการที่ให้ความเป็นธรรมในการพิสูจน์สิทธิ หรือให้สิทธิประชาชนในการนำเสนอข้อมูล แต่ใช้กฎอัยการศึกมาอ้างเพื่อปฏิบัติการเด็ดขาดกับชาวบ้านที่ยากไร้เสมือนกับพวกเขาเหล่านั้นเป็นศัตรูของรัฐหรือเป็นภัยต่อความมั่นคงอย่างร้ายแรง ซึ่งเป็นปัญหามากในการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ทหารอ้างกฎอัยการศึกสั่งระงับ!
นอกจากนี้ ยังมีการเลือกปฏิบัติในการทวงคืนผืนป่าในลักษณะสองมาตรฐาน เพราะมีการยึดคืนเฉพาะที่อยู่อาศัยและทำกินของเกษตรกรรายย่อยที่ยากไร้ แต่ไม่มีการแตะต้องพื้นที่สัมปทานเหมืองแร่ พลังงาน และอุตสาหกรรมของนายทุนที่รุกผืนป่าแต่อย่างใด ซึ่งเป็นการสร้างความไม่ยุติธรรมในการเข้าถึงฐานทรัพยากรธรรมชาติ
ไม่เว้นแม้แต่ขบวนเดินเพื่อสายน้ำของชาวบ้านลุ่มน้ำชีเมื่อวันที่ ๒๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ที่ผ่านมา ที่ทหารอ้างกฎอัยการศึกสั่งหยุดเดินเพื่อศึกษาเรียนรู้และศึกษาเส้นทางน้ำของขบวนพระสงฆ์ นักเรียน ครูและชาวบ้านลุ่มน้ำชีในเขตจังหวัดยโสธรและร้อยเอ็ด
ความรุนแรงเหล่านี้กำลังแผ่ขยายลุกลามดุจเชื้อร้ายจากการใช้กฎอัยการศึกและอาวุธปืนกดหัวชาวบ้านไว้ ในขณะที่แผนแม่บทฯ ดังกล่าวกำลังถูกผลักดันให้เป็นวาระแห่งชาติและเข้าสู่กระบวนการของบประมาณผูกพัน ๑๐ ปี เป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่า ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท อย่างไม่โปร่งใสไร้การตรวจสอบและเปิดเผยต่อสาธารณะ ในทางตรงข้าม ความรุนแรงดังกล่าวกำลังปลุกขบวนประชาชนต่อต้านโครงการจัดสรรที่ดินทำกินให้แก่ราษฎรผู้ยากไร้ หรือ คจก. ในยุครัฐประหาร รสช. เมื่อปี ๒๕๓๔ ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ ขบวนประชาชนอีสานที่ประสบปัญหาจากการถูกรุกไล่ออกจากพื้นที่ป่าตามแผนแม่บทฯ และคำสั่ง คสช. ทั้งสองฉบับ ภายใต้กฎอัยการศึกที่กดหัวไว้ จะร่วมมือกับขบวนประชาชนในประเด็นปัญหาอื่น ๆ ในภาคอีสาน เพื่อขับเคลื่อนปัญหาชาวบ้านไปด้วยกัน
โดยมีข้อเสนอในเบื้องต้น ดังนี้
๑. ขอให้ยกเลิกการประกาศใช้กฎอัยการศึกโดยเด็ดขาด เพื่อเปิดทางให้ประชาธิปไตยกลับคืนมาสู่บ้านเมืองโดยเร็ว
๒. ขอให้หยุดยั้งทุกนโยบาย แผนงานและโครงการที่มีผลกระทบต่อป่าไม้ ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และยกเลิกทุกโครงการสัมปทานแก่ภาคเอกชนที่อยู่ในเขตพื้นที่ป่า และนำคืนมาสงวนไว้เพื่อการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน
๓. ขอให้หยุดแสวงหาผลประโยชน์บนความทุกข์ยากของประชาชนด้วยวาระซ่อนเร้นจากการนำแผนแม่บทฯ ไปของบประมาณแผ่นดินผูกพัน ๑๐ ปี เป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่า ๕๐,๐๐๐ ล้านบาท
๔. ขอให้ปรับใช้แผนแม่บทฯ และคำสั่ง คสช. ทั้งสองฉบับดังกล่าว ตรวจสอบและกำจัดกลุ่มทุน ข้าราชการและนักการเมืองที่บุกรุกพื้นที่ป่าหรือที่ดินของรัฐอย่างเข้มงวดกวดขัน ไม่ใช่ดำเนินการสองมาตรฐานด้วยการจับกุมดำเนินคดีต่อชาวบ้านผู้ยากไร้แต่เพียงฝ่ายเดียว
ด้วยความเคารพ
คณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนภาคอีสาน (กป.อพช.อีสาน)
๑๕ มกราคม ๒๕๕๘
เรื่องโดย มูลนิธิอาสาสมัครเพื่อสังคม และเครือข่ายฯ