ความตายหนึ่ง…..คือกองกระดูกต่อกระดูกที่ส่งต่อเป็นตำนานการเกิดดับ เพื่อรอการงอกงามเป็นอีกหนึ่งชีวิต ในเรื่องสั้นหม่นเศร้า ดูเหมือนยากต่อการทำความเข้าใจ แต่ง่ายต่อการสัมผัส “หลังบ้านของผม” หนึ่งความลับที่ขับเคลื่อนไปพร้อมกับการควานหาความหมาย….โดย เชษฐ์ เบญจมาศ อาสาสมัครครูอาสาเพื่อการศึกษาทางเลือก
(๑)
ศพถูกยกลงบนโลงไม้ที่ตัดโค่นลงจากป่าโคกหลังหมู่บ้าน ติดเยื้องลำน้ำชี ไม้ตะแบงขนาดสามคนโอบ สูงเท่ายอดมะพร้าวบ้าน ถูกชายฉกรรจ์สามคนตัดเลื่อยด้วยเลื่อยชักมือ ก่อนประกอบเป็นโลงไม้ตะแบง ขัดเกลาด้วยกะดาษทราย ลงลายกระดาษฉลุ รองด้วยเสื่อกระจูด วางทับด้วยผ้าห่ม
กลิ่นธูปโชยมาตามลม เสียงร่ำไห้กลบเสียงวิเวกยามเย็น ร่างยายนอนนิ่งในโลงไม้ ลูกหลานเข้ามามองหน้าก่อนฝาโลงปิด
ความตายดูเหมือนการหลับนอนครั้งใหญ่ของชีวิต ยายพริ้มตาลงในขณะที่แสงแดดยามเย็นลับหายจากขอบฟ้า เด็กเล็กๆ ที่มาร่วมพิธีมีคราบเขม่าถ่านไฟติดตรงหน้าผาก แม่เด็กบอกว่าเขม่าถ่านไฟมีไว้สำหรับปิดดวงตาวิญญาณ
ศพลงโลงแล้ว ลูกหลานช่วยยกโลงไปตั้งที่ถุนบ้านไม้ยกสูง คณะมโหรีกันตรึม มีซอ กลอง และฉิ่ง เริ่มต้นบรรเลงเพลงธรณีกรรแสงแว่วล้อกับสายลมกลางคืน เนื้อเพลงเป็นอย่างไรไม่มีใครทราบ เพียงท่วงทำนองเท่านั้นที่ถูกบรรเลงในยามความตายมาเยือน ความเบาหวิวเริ่มคุกคาม
ยายเคยบอกผมว่า หากความตายมาถึง อย่านำศพไปเผาที่วัด จงเปิดทุ่งนากว้าง หาฟ่อนฟืนเผาไฟ ยายอยากอยู่ใกล้บ้าน บ้านคือทุกอย่าง ยายเกิด โต และตายที่นี่
หลานคนโต
ผมเป็นหลานคนโต ลูกคนแรกจากลูกสาวคนแรกซึ่งเป็นลูกคนที่สองของยายซึ่งมีลูก 12 คน วันที่ผมเกิด ยายอายุ 60 ปี เราจึงมีอายุห่างกัน 5 รอบปีนักกษัตร
เมื่อผมเริ่มพูดรู้เรื่อง หมายถึงเริ่มเข้าโรงเรียนใกล้บ้าน ยายเริ่มเล่านิทานให้ฟัง เริ่มพาลงหมู่บ้าน เพื่อฟังบทเจรียง อันเป็นเรื่องเล่าประกอบเพลง
บ้านของเราสื่อสารด้วยภาษาแขมร์ ยายพูดภาษาไทยได้บ้าง แต่ไม่มาก ตอนนั้นผมไม่ได้ตั้งคำถามว่าทำไมเราถึงพูดไม่เหมือนคนอื่น และที่น่าแปลกคือเมื่อผมไปโรงเรียน ครูจะบังคับไม่ให้เราพูดภาษาแขมร์ในห้องเรียน แต่ผมก็ไม่เคยตั้งคำถาม ยายต่างหากที่สนับสนุนให้เราเรียนรู้ภาษาไทย หมั่นอ่านเขียนเรียนรู้เพื่อสื่อสาร
ในวัยเด็ก เวลาว่าง ยายจะเล่าเรื่องที่ผ่านมาให้ฟัง ยายว่าสมัยก่อนหลังบ้านเป็นป่ารกมีเสืออยู่ ยายเล่าพร้อมชี้มือไปที่โคนมะม่วงหลังบ้าน ผมสะดุ้งโหยง รี่เข้ากอดยาย ยายยิ้มน้ำหมากกระจาย ใช่ น้ำหมากกระจายจริงๆ หมากกับยายดูเหมือนจะติดปากติดฟันอยู่ตลอดเวลา รูปธรรมคือตะบันหมากอันเล็กที่ยายถือติดตัว เหตุที่ยายชอบกินหมาก ครั้งหนึ่งผมจึงเคยช่วยยายทำปูน โดยการนำเปลือกหอยแครงมาเผาไฟ แล้วเก็บมาตำละลายน้ำให้ข้น ยายเรียกปูนที่ได้ว่า “กะมอรซอ” หรือปูนขาวที่ยายจะใส่ตลับเอาไว้ โดยเปลือกหอยแครงเราเก็บมาจากบ้านที่ซื้อมาจากตลาด
นอกจากปูน ผมร่วมกิจกรรมกับยายอีกหลายอย่าง ดังนั้นในฐานะหลานคนโต ผมจึงใกล้ชิดกับยายมากกว่าหลานคนอื่น ที่ต่อมาในวันที่ยายตาย ยายมีหลานถึง 35 คน แต่ความใกล้ชิดนั่นเอง ที่ได้นำผมสู่เหตุการณ์ในคืนหนึ่ง..
บ้านไม้หลังหมู่บ้าน
ชายแก่ร่างกะหร่องนอนนิ่งเงียบบนเสื่อกระจูด บนเรือนไม้ชั้นสอง ผ่านบานประตูไม่มีบาน ผู้คนนั่งรายล้อมกว่าสิบคน ทุกแววตาดูกังวล ยายเดินตรงเข้าไปนั่งข้างๆ เมียชายแก่ ผมเดินตามนั่งลงข้างๆ ยาย ยายหันมากระซิบบอกให้นั่งเงียบๆ
ยายถามนางเมียชายแก่ว่าอาการเป็นอย่างไร นางเมียว่าเขาเคยเป็นสัปเหร่อ ครั้งล่าสุดเพิ่งไปเผาศพตาชูที่มีชื่อทางเวทย์คาถา พอกลับมา อาการก็เริ่มทรุด นั่งนิ่งไม่พูดกับใคร นางเมียว่าเขาเป็นเช่นนี้มาสามวันแล้ว
ยายเอื้อมมือขวาจับมือซ้ายชายแก่ เขาเงียบ แต่ไม่นานนักก็หันหน้ามองยาย สายตาเขาน่ากลัว ผมหลบตาลงมองพื้น รู้สึกขนแขนลุกชัน
ยายบอกเมียชายแก่ที่ต่อมาผมทราบว่าชื่อ ยายเหมือนว่า ชายแก่โดนของหรือปะรเบาะ ให้นำไข่ไก่ ผ้าขาว ธูปมาให้ ยายเริ่มต้นบริกรรมคาถา
ผมจำไม่ได้ว่ายายทำอย่างไรกับไข่ไก่ฟองนั้น ที่พอจำได้คือยายให้นำห่อผ้าขาวไปโยนทิ้งแม่น้ำชี แม่น้ำสายยาวหลังบ้าน และหลังจากนั้นไม่นาน ชายแก่คนนั้นก็กลับมาหายดี
ขุดโพรง
เมื่อโตขึ้น ผมเริ่มทวนความจำเกี่ยวกับสิ่งที่เห็นในบ้านไม้หลังบ้าน ยายทำอะไรกับชายแก่คนนั้น ผมไม่รู้แต่สิ่งหนึ่งที่คลับคล้ายกัน คือที่บ้านผมจะมีพิธี “มะม็วด” ซึ่งเป็นพิธีกรรมบรรเลง ใช้ดนตรีในการบำบัด ทุกครั้งที่คนเจ็บป่วยจนหาสาเหตุไม่ได้ แม่เพลง “มะม็วด” จะเริ่มบรรเลง ผู้คนที่เป็นคนทรงจะเริ่มร่ายรำ ถึงจังหวะหนึ่งผีทรงจะเข้าร่วม ดูดยาเส้น ดวลดื่มสุรา และเริ่มต้นสนทนากับคนที่เป็นลูกหลาน และเอ่ยบอกทางออกต่ออาการป่วยไข้
อาการติดความลึกลับ ดูเหมือนจะงอกตัวในจิตใจ ผมเริ่มดำดิ่งกับความฝัน หลังภาพฝันสุดท้ายเกี่ยวกับการมาเยือนของยักษ์ในนิทานเรื่องยักษ์ในเมืองข้าวตังที่ยายเล่าให้ฟัง ผมเริ่มต้นหาพลั่วและจอบ ขุดลึกลงในดิน ก่อร่างโพรงเหมืองที่จะบรรลุสู่ภพภูมิอื่น
ความเชื่อในจิตใจเริ่มก่อตัว ผมเริ่มร่างผังเขาวงกตในกระดาษ ร่างแบบแผนแห่งการเดินทางของตนเอง ผมตระเตรียมเสบียงกรัง ไฟฉาย ถ่านไฟ และอุปกรณ์ขุดเจาะ แต่ระหว่างนั้น ผมกลับไม่รู้ว่า ทางออกของเขาวงกตคือที่ใด
ระหว่างที่ครุ่นคิดและตระเตรียม ผมรู้ว่ายายกำลังมองผมอยู่ ยายคงสงสัยกับสิ่งที่ผมทำ แต่ยายไม่เคยถาม ยายทำเป็นไม่รู้
โพรงแรกเริ่มต้น ผมขุดด้วยอีเตอร์ ลงลึกใต้โคนต้นมะม่วงหลังบ้าน เลือกยามเหมาะไร้คน ดำดิ่งห้วงแรงประหนึ่งจะระเบิดดินเป็นโพรงในครั้งเดียว ในใจเริ่มสงบนิ่ง ทุกเม็ดดินที่ตะกุยขึ้นมา นำพาความฝันเพริดสู่อีกโลก
ปากโพรงกว้างเมตรคูณเมตร ทรงสี่เหลี่ยมเริ่มปรากฏ ลึกลงดำมืด ผมเริ่มดำลงไป ใช่..ดำลงไป เพราะท่ามกลางความมืด สิ่งเดียวที่พอจะส่องทางในความอึดอัด คือลมหายใจและความเชื่อ
นานเท่าไหร่ไม่รู้ ที่ผมพาตัวเองลงไปในโพรง ถามว่าผมหายใจหรือเปล่า ผมไม่รู้ว่าตนเองหายใจหรือไม่ ไม่รู้จริงๆ เพราะขณะก้าวที่ลงไป ผมพบเพียงความมืดที่ล้อมวงอยู่ ผมรู้สึกว่าตนเองเป็นหนอนที่เกาะไชผลไม้สุก เพื่อทะลุสู่แก่นกลางเมล็ด หวังซุกตัวนอนนิ่ง ปลีกตนจากโลกภายนอก
กระดูกเหล่านั้น
เอาละ เมื่อทุกอย่างเริ่มขึ้นดั่งระลอกคลื่น ฝั่งแรกที่ผมกระทบคือ โครงกระดูกสีดำจำนวน 5 ชิ้น เรียงซ้อนเป็นตั้ง กระดูกแต่ละชิ้นมีรูปร่างลักษณะแตกต่างกัน
แสงไฟฉายเหนือศีรษะ นำทางผมพากระดูกออกจากโพรง ผมวางท่อนกระดูกเหนือปากโพรง ใต้โคนต้นมะม่วง ขณะนั้นแสงแดดเริ่มหรุบหรู่ ผมวางกระดูกลงบนผ้าขาวม้าลายหมากรุกสีแดงสลับเขียวหม่น แสงที่เหลือบอกเรื่องราวของกระดูกแก่ผม
กระดูกทั้ง 5 ชิ้น คือ ซี่โครง, ต้นขา, สันหลัง, ท่อนแขน และสะโพก
โครงกระดูกดังกล่าว มิได้สร้างความประหลาดใจแก่ผมมากนัก หากสิ่งที่น่าสนใจคือสีดำที่ทาทาบชิ้นกระดูกเหล่านั้นต่างหาก ที่เรียกร้องผมให้ถามหาความเป็นมา
ยายคือเป้าหมาย ผมเริ่มต้นเล่าเรื่องที่ทำให้ยายฟัง ยายทำท่าแปลกใจ แม้ผมจะรู้ว่าท่านรับรู้มาตลอด ก่อนลงรายละเอียดเรื่องกระดูกให้ฟัง ยายนั่งนิ่ง สายตาเหม่อมองออกไปยังความมืดที่ครอบคลุม
ยายเดินตามผมมา ก้มลงหยิบกระดูกซี่โครง มองอย่างพิจารณา วางลงที่เดิม ก่อนบอกให้ผมรีบดำลงไปในโพรง และกลบฝังโครงกระดูกไว้ดังเดิม
ผมไม่เอ่ยถามสิ่งที่ยายบอกว่ามีสาเหตุอย่างไร เช่นเดียวกับที่ไม่เคยเอ่ยถามเรื่องราวที่เกิดขึ้นที่บ้านไม้หลังหมู่บ้าน
ฝันประหลาด
ผมเดินลงโพรงอีกครั้ง ช่องโพรงเปิดกว้างหลายช่อง ผมเลือกช่องขวามือ มีแสงไฟปรากฏ ผมเห็นหน้าสลักใบหน้าคนขนาดใหญ่ ใบหน้าสี่เหลี่ยมคล้ายกำลังยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ผมจ้องมองลงในดวงตารูปสลัก ผมเห็นชีวิตในนั้น
ใช่ ประกายตาฉายฉาน ผมเอ่ยทัก รูปสลักเอ่ยทักตอบ เราสื่อสารกัน
เพียงพริบตา ผมพบตนเองยืนอยู่ท่ามกลางหุบเขาใหญ่ มีคนเดินทางไปมาด้วยวัวเทียมเกวียนที่ข้างหลังบรรทุกจอบ เสียม ใบเลื่อย ค้อน กองเกวียนยาวเหยียดกว่าร้อยคัน สัญจรผ่านหน้ามุ่งสู่ทิศเหนือ เสียงกงเกวียนกลบทับเสียงพูดคุย
ผมแอบมองริมทาง นานเท่าไหร่ไม่รู้ เมื่อกองเกวียนสุดท้ายผ่านหน้าไป ผมตัดสินใจเดินตาม
ชายฉกรรก์เบื้องหน้าในชุดสะโหร่งสีแดงโจงกระเบนลายหมากรุกสีแดงสลับเขียวหม่น เดินฉับๆ เสียงสนทนาแว่วผ่านมาตามลม ผมพอจับความได้บ้าง เพราะทุกเสียงพูดช่างคุ้นเคยประหนึ่งอยู่ร่วมหลังคาบ้านเดียวกัน
เดินตามดั่งต้องมนต์ รู้สึกตัวอีกครั้ง พบตนเองยืนอยู่หน้ากองปราสาทสีแดงเข้ม กองเกวียนกระจายตัวเป็นจุด กลุ่มชายฉกรรก์กำลังก้มเงยขุดเจาะก้อนดินสีแดงจากหล่มโคลน ชายอีกกลุ่มก่อนั่งร้านไม้ เรียงรายก่อก้อนดิน บ้างกำลังแกะสลักรูปร่าง
ผมเดินเข้าไปท่ามกลางกลุ่มชายฉกรรจ์ ไม่มีใครสนใจผม ประหนึ่งว่าผมไร้ตัวตน จ้องมองรูปสลักที่กำลังก่อตัว
ใช่ ผมเห็นรอยยิ้มนั้น…
แม่น้ำ
กระดูกสีดำถูกฝังไว้ที่เดิม ผมเริ่มก้าวสู่การขุดโพรงอีกครั้ง ชีวิตช่วงนี้ผมเริ่มเสพติดความมืด ผมปลดไฟฉายลง เดินสู่โพรงพร้อมอีเตอร์ จอบและเสียม มีรถเข็นลากวางไว้เบื้องหลัง
หากกำลังขุด หูเริ่มยินเสียงกระแสน้ำด้านล่าง ผมเงี่ยหูฟัง หยิบเสียมขุดโพรงลงด้านล่าง
ภาพกระแสน้ำไหลซ่าด้านล่างปรากฏชัด ผมนำร่างลอดโพรงเสียมที่เจาะลงไป ร่างสัมผัสผิวน้ำเย็นเฉียบ สัมผัสแรกบอกว่า ผมต้องเดินต่อไป
สายน้ำไม่ได้ลึกอย่างที่คิด ทอดยาวสงบนิ่งดั่งงูรอลอกคราบเพื่อการเติบใหญ่ ผมเริ่มปรับระยะสายตา เพ่งหาชายฝั่ง คะเนความกว้างของแม่น้ำ แต่น่าแปลกผมมองไม่เห็นฝั่ง ทอดก้าวเดินสู่เบื้องหน้า แสงสีเขียวปรากฏจากสายน้ำ ผมเห็นประกายแสง ไม่นานนักภาพปลาเรืองแสงขนาดใหญ่ ตัวยาว ว่ายผ่านไปใต้เท้า
ใช่ น้ำไม่ลึก แต่ปลาเรืองแสงว่ายผ่านใต้เท้า หรือแม่น้ำวางอยู่ใต้เท้าอีกที ผมเริ่มมองลงไป จ้องผ่านม่านตาที่เริ่มปรับรับความมืด จริงสิ เกือบลืมไปว่าก่อนหน้านี้ ผมคุ้นชินกับความมืดในช่วงวัยเด็ก ตะเกียงกระป๋องน้ำมันก๊าด ยายจะจุดแล้ววางไว้ที่ชานบ้าน
หรือแท้จริงความมืดมาก่อนความสว่าง
สายน้ำยังเย็นเฉียบ เท้าทั้งสองข้างเริ่มชา ผมเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น ไม่นานนักก็ได้ยินเสียงสนมนามาจากด้านหน้า ไม่สิ เป็นเสียงเรียกต่างหาก เงียบฟัง ก่อนได้ยินชัดว่าข้อความที่กู่เรียกเป็นชื่อตนเอง
พบชื่อตนเอง
ยาย..เรียกชื่อผม
ผมงัวเงียตื่นขึ้นมา มองหน้ายาย ยายยิ้ม ผมชำเลืองมองรอบข้าง เห็นชานเรือนและต้นมะม่วง ยายถามว่าเป็นอย่างไรบ้าง ผมกระพริบตา บอกว่ารู้สึกเพลีย ยายยกน้ำร้อนกลิ่นฉุนมาให้ ยายว่าจะช่วยรักษาความอ่อนเพลียได้
ผมยกน้ำร้อนดื่มอย่างว่าง่าย
ยายเอ่ยถามว่าไปทำอะไรมา ผมเริ่มต้นเล่าให้ยายฟัง ยายว่าทางที่ดีอย่าลงไปในโพรงนั้นอีก ผมเงียบ ยายยิ้ม วางตะบันหมากลงพื้น หยิบหมากพลูลงมาตำ แล้วเคี้ยวคำหมาก ก่อนหันมาเป่ากระหม่อมของผม เช่นเดียวกับที่เคยทำเมื่อครั้งที่ผมไม่สบายในครั้งเด็กๆ
ต่อไปนี้อย่าลงไปอีก ผมได้แต่นิ่งเงียบ ก่อนเอ่ยถามเรื่องแม่น้ำใต้ดิน
ยายคายคำหมากลงกระโถน สบตาผมแล้วบอกว่า บางทีสิ่งที่เราคิดว่าเราเห็น อาจไม่ใช่สิ่งที่เป็นจริงก็ได้ เช่นกัน, บางทีสิ่งที่เราคิดว่าไม่ใช่ อาจใช่ก็ได้
ผมไม่เคยได้ยินยายพูดอะไรแบบนี้มาก่อน แต่ก็ไม่รู้สึกแปลกใจ เพราะผมเชื่ออย่างฝังใจว่ายายรู้เห็นในสิ่งที่ผมเห็น เพียงแต่ไม่บอกเล่า
เมื่อหายดี ผมเริ่มตระเตรียมเครื่องมือสำหรับลงไปในโพรงอีกครั้ง ทว่าการเคลื่อนไหวครั้งนี้ของผม เริ่มเป็นที่สนใจของพ่อแม่และคนรอบข้าง ผมรู้ว่าถ้าคนอื่นที่นอกเหนือจากยาย รู้ว่าผมทำอะไร ผมคงต้องหยุด แต่ภาพแม่น้ำสายนั้น ตราตรึงใจผมจนเกินกว่าจะหยุดลงไปอีกครั้ง
ทุกอย่างเตรียมพร้อม ครั้งนี้ผมเดินดุ่มลงไปในท่ามกลางโพรงลึก จริงสิ ถึงทางแยกเลี้ยวขวา แล้วจะเจอร่องเสียมลงไปยังแม่น้ำสายนั้น
ทว่าเดินมาจนสุดปลายโพรงแล้ว ผมกลับไม่เห็นทางแยก ไม่ได้ยินเสียงน้ำไหล หรือว่าที่ผ่านมาเป็นความฝัน หรือว่าเกิดจากความวิปลาสของผม ผมก้มลง เงี่ยหูแนบพื้น
สิ่งที่ได้ยินมิใช่เสียงสายน้ำ แต่เป็นเสียงเกวียน เสียงเกวียนเป็นกองคาราวาน เช่นในความฝัน ผมคว้าเสียมขุดลงไปอีกครั้ง..
ความลับของกองเกวียน
แท้จริงเราต่างร่วงหล่นจากบางอย่าง ก่อนเติบโตในบางอย่าง
ผมเห็นตัวเองลอยคว้าง เนิ่นนาน รอบข้างมืด รู้สึกเหมือนตนเองกำลังแหวกว่ายอยู่ท่ามกลางทะเลแห่งรัตติกาล ดำมืดจนรู้สึกว่าสว่างไสวเหลือกำลัง ผมเห็นร่างกายเริ่มกลับกลาย ขาเริ่มมีเส้นฝอยดั่งรากไม้ แขนและนิ้วเริ่มผลิใบเขียว ลำตัวกลายเป็นสีน้ำตาลแข็ง มีเพียงหัวที่ยังคงจ้องมองความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ผมมิได้ตกใจ แต่กลับรู้สึกสงบนิ่ง
เนิ่นนานแห่งการร่วงหล่น ผมเห็นกองคาราวานเกวียนกับปราสาทเหล่านั้น ใบหน้าคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ถูกจำสลักทุกทิศาของปราสาท กลางวงล้อมนั้น คือปราสาทยอดสูง เปล่งประกาย ชายฉกรรจ์หายไป ช้าก่อน.. ไม่ได้หายไปไหน กองเกวียนต่างหากที่นำพาชายฉกรรจ์กลุ่มนั้น เดินทางขึ้นเหนือ พร้อมจอบ เสียม ใบเลื่อย และค้อน
การสร้างสรรค์อีกครั้งกำลังจะเริ่มต้น ทิศเหนือคือองศาการเดินทาง ผมเห็นภูมิประเทศราบสูง ลานกว้างอันเป็นทุ่งทองของข้าวนานาพันธุ์ เห็นอีกากำลังโบกบิน เช่นเดียวกับนกชนิดอื่น เห็นบ้านเรือนหลังเล็ก เห็นกลุ่มคนอีกเผ่าพันธุ์ที่สื่อสารด้วยภาษาอื่น ภาษาที่มิใช่ภาษาแห่งกองเกวียนเหล่านั้น
ดูสิ ผมเริ่มเห็นยอดปราสาทเช่นเดียวกับที่ผ่านมา ภูเขาถูกเลื่อยเพื่อลากหิน แผ่นดินถูกขุดเพื่อนำดินสีแดงขึ้นมา ชายฉกรรจ์บรรจงสร้างดุจนายช่างวาดรูปนางอันเป็นที่รัก ผมเห็นรอยต่อของปราสาทใหม่ กับปราสาทหลังใหญ่ที่เต็มไปด้วยใบหน้าคล้ายยิ้มแต่ไม่ยิ้ม
ทุกคนที่ผมเห็น พวกเขาล้วนสงบนิ่ง ไร้วี่แววแห่งการคุกคาม ประหนึ่งนาข้าวหลายหมื่นไร่ที่ไม่มีการรังเกียจเดียดฉันท์ระหว่างสายพันธุ์
ผมหมุนรอบตัวเอง นิ้วมือเริ่มมีหนอนมาเกาะ ลำตัวมีนกกามาเจาะโพรง สายตาผมจับจ้อง มองสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่รู้สึกวิตก มิเจ็บปวด หากเอมอิ่มกับความเป็นไป หรือว่าผมตายแล้ว และเกิดใหม่ในร่างของต้นไม้
ภาพกองเกวียนหายไปแล้ว ดวงตาของผมเริ่มมีหนอนขึ้นเกาะเคี้ยว สงบนิ่งเถิดหัวใจ วิญญาณกำลังงอกตัวใหม่…
กระดูกเดียวกัน
กองกระดูกสีดำกองพะเนินเป็นภูเขา
ผมคิดว่าตาผมคงพร่าจนพบรูปแปลกๆ คงเป็นเพราะพิษหนอนเหล่านั้น ทว่าเมื่อผมหันมองร่างกายที่กลายเป็นต้นไม้ ทุกอย่างปรากฏชัดเช่นเดิม กองกระดูกสีดำเช่นเดียวกับกระดูก 5 ชิ้นที่เห็นมาก่อนหน้า กองพะเนินเช่นนั้นจริงๆ
ผมพยายามลืมตา โชคดีที่หนอนกัดกินดวงตาไปเพียงบางส่วน ภาพกองกระดูกฟั่นเกลียวคล้ายรูปเมล็ดข้าวสาร หากอีกมุมกลับสูง กว้าง คล้ายเรือขุดที่แล่นอยู่ในแม่น้ำหลังบ้าน
ไม่นานนักสายฝนพลันโหมกระหน่ำลงบนกองกระดูกเหล่านั้น รินรดประหนึ่งสายน้ำตกกระทบหินผา
พลันสิ่งที่ไม่คาดฝันได้เกิดขึ้น กองกระดูกเริ่มแตกตัว กลายร่างเป็นคน ลุกเดินออกจากกองกระดูกสีดำเหล่านั้น ทุกอย่างดำเนินไปบนเส้นทางเหล่านั้น คนแล้วคนเล่าเริ่มเดินออกไป ดั่งการแตกตัวของเกสรดอกไม้
ผมนิ่งมองความเคลื่อนไหวเหล่านั้นจากดวงตาที่เหลืออยู่ คล้ายเห็นเพื่อนสนิท ญาติมิตร ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ เดินออกจากกองกระดูก แต่ในความเคลื่อนไหว ผมไม่กล้ายืนยันแน่ชัดว่าสิ่งที่ตนเห็นนั้นเด่นชัดเช่นนั้นหรือไม่
เช่นเดียวกับการงอกตัวของคนอื่น ร่างกายของผมเริ่มต้นกลับกลายอีกครั้ง ผมเห็นชิ้นส่วนของตนกลายเป็นสีดำ ดำเช่นสีกระดูกตรงหน้า ความมืดดำเริ่มต้นเข้ากัดกลืน
(๒)
ศพของยายตั้งวางอยู่สามวันแล้ว เสียงบทสวดพระอภิธรรมคืนสุดท้ายกังวานแว่ว ลูกหลานนั่งมองโลงศพเป็นครั้งสุดท้าย พรุ่งนี้เช้าสัปเหร่อจะเคลื่อนศพออกจากบ้าน มุ่งหน้าสู่ผืนนาที่ยายตั้งใจจะเผาศพตนเอง
กลิ่นศพเริ่มโชยมาตามลม สามวันแห่งความตาย นานเพียงพอที่จะระเหยกลิ่นศพ อันเป็นปราการสุดท้ายของสังขาร
ผมนั่งมองควันธูปที่ลอยลม เสียงร่ำไห้ยังดังมาจากข้างหลัง
บัดนี้ต้นมะม่วงเงียบหายอยู่ในความมืด ผมรู้ว่าต้นมะม่วงกำลังโศกเศร้า ยายตายแล้ว มันคงรู้ เช่นเดียวกับที่ผมรับรู้ เพียงแต่มันไม่อาจเดินมาจุดธูปบอกได้ แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะผมได้เตรียมการอย่างดีแล้ว
ผมลุกขึ้นจากหน้าโลงศพ มุ่งหน้าสู่โพรงดินข้างโคนต้นมะม่วง ความมืดเป็นม่านพรางอย่างดี ผมเดินเข้าไปในโพรง อีเตอร์ขุดเจาะหน้าดินอีกครั้ง หลังหยุดพักมากว่าห้าปี
แผนผังเขาวงกตใกล้เสร็จสิ้นแล้ว โพรงสุดท้ายซึ่งเป็นทางออกอยู่ตรงไหน วันนี้ผมรู้แล้ว…
เชษฐ์ เบญจมาศ
อาสาสมัครครูอาสาเพื่อการศึกษาทางเลือก
มกราคม 2556, ละงู, สตูล ประเทศไทย