อยู่บนใจความสำคัญเดียวกันเกือบทั้งรุ่น เมื่อพวกเขาพบว่ามาตราที่พวกเขาท่องๆ เพื่อไปสอบระหว่างที่เรียนนิติศาสตร์ 4 ปี ไม่ได้ครอบคลุมความจริงที่เป็นอยู่ และไม่ได้คุ้มครองคนด้อยโอกาสบางกลุ่ม อีกบางกลุ่มยังถูกคนใช้กฎหมายทำร้าย และกีดกันให้เป็นคนนอก ซึ่งกฎหมายไม่ปกป้องรับรองอีกมาก
มอส.ผู้จัดกระบวนการและองค์กรที่รับอาสาสมัคร ขอเป็นอีกแรงที่พร้อมจะช่วยให้คนหนุ่มสาวเข้าใจข้อเท็จจริง และมีทักษะในการทำงานเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นในสังคม
อ่านบทสัมภาษณ์สั้นๆ ในวันหมดวาระอาสาฯเมื่อ 10 กรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งฝ่ายอาสาสมัครได้สัมภาษณ์ เจ_ศุภณัฐ บุญสด กลุ่มดาวดินรุ่น 7 ก่อนมาเป็นอาสานักสิทธิมนุษยชนรุ่น 9 ทำงานประจำอยู่ที่ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน จนปัจจุบัน
Q: หนึ่งปีที่ได้มาเป็นอาสานักสิทธิ์รุ่น 9 กับมอส.เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง
คำตอบที่เกิดขึ้นมาในหัว คือ ตัวเองทำงานเรื่องคดีละเมิดสิทธิ์หลังรัฐประหาร สิ่งที่ได้เรียนรู้จริงๆ ก็คือว่า สิ่งที่ตัวเองเรียนมามันใช้ไม่ได้ผลกับสิ่งที่เกิดขึ้นจริง เพราะสังคมเรามันไม่ได้อยู่บนหลักการที่ถูกต้อง ที่นี้มันก็ช็อคนิดหน่อยกับสิ่งที่เจอมา เพราะตอนจบก็ไฟแรงนิดหน่อยและก็คิดว่าสิ่งที่ตัวเองเรียนมามันเป็นสิ่งที่สังคมเขายอมรับกันจริงๆ แต่พอมาเจอจริงๆ แล้วมันไม่ใช่ แล้วก็ทุกคนก็อ้างว่าสิ่งที่เขาทำอยู่มันเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นจริง แต่มันไม่โอเค แล้วก็มันทำร้ายคนอื่นเยอะเกินไป
หนึ่งปีที่เรียนรู้มาก็คือ สังคมเราไม่ได้อยู่บนหลักการที่จะทำให้คนมันอยู่ร่วมกัน เราเป็นนักกฎหมายสิทธิ์เราต้องต้องเข้มแข็งและก็สู้ต่อไป เพื่อให้หลักการนี้มันสามารถอยู่กับสังคมได้
แล้วหนึ่งปีที่ผ่านมาก็ได้เรียนรู้ในส่วนเรื่องการทำงาน คือเป็นเด็กจบใหม่และได้ทำงานที่ชอบ โอเคมากเลย และก็ได้เรียนรู้วินัยในการทำงาน การทำงานเพื่อคนอื่น
Q: พอมาทำงาน ความคิดเราเปลี่ยนไหม?
พอทำงานความคิดก็ไม่ได้เปลี่ยน ตอนเป็นนักศึกษาอาจจะฟุ้งเยอะไปหน่อย แต่พอมาทำงาน 1 ปี มันเหมือนการจัดระบบความคิดของตนเองให้เป็นระบบ เป็นขั้นเป็นตอนขึ้น มันทำให้เราคิดอะไรแบบชัดเจนมากขึ้น พอได้ทำงานจริงๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าประสบการณ์การทำงานมันจะสำคัญกว่าความรู้ที่เราเรียนมา แต่การทำงานมันช่วยขัดให้ความคิดเราเป็นระบบมากขึ้น ให้เราทำงานเป็นขึ้นครับ